smartwatch รุ่นล่าสุด....!!!
หลายๆคนก็อาจจะพอรู้จักหน้าคร่าตา และการใช้งานคร่าวๆของ Pebble ไปแล้ว สำหรับบทความนี้ เรามาเจาะลึกข้อมูลเฉพาะของ Pebble กันว่า มีคุณสมบัติอะไรบ้าง ทั้งด้านคุณสมบัติภายนอก และภายในตัวเครื่อง Pebble ตัวนี้ ซึ่งรับรองได้เลยว่า มันไม่ธรรมดาแน่นอน สำหรับเจ้า Pebble Smart Watch ตัวนี้
ความเป็นมาของ Pebble นั้นมีประวัติที่น่าสนใจมากครับ กว่าจะมาเป็นนาฬิกา Pebble ที่ประสบความสำเร็จทางธุรกิจอย่างมากในต่างประเทศ และกำลังมาแรงแซงโค้ง Smartwatch ทุกแบรนด์เลยก็ว่าได้ เนื่องจากซึ่งมีคุณสมบัติที่น่าสนใจอยู่มากมาย เรียกได้ว่าเป็นนาฬิกาที่มากกว่านาฬิกาก็ว่าได้ ถึงขนาดที่ว่าผลิตออกจำหน่ายแทบไม่ทัน ต้อง Preorder สินค้ากันแรมเดือนกันเลยครับกว่าจะได้สินค้าตัวนี้ไปใช้กัน มาเริ่มกันที่ประวัติความเป็นมาของ Pebble กันเลยครับ
Pebble นั้นเปรียบได้ว่าเป็นนาฬิกาอัจฉริยะที่สร้างปรากฎการณ์ที่น่าสนใจในโลกเทคโนโลยี เนื่องจาก Pebble เกิดขึ้นและเติบโตมาจากการเป็นโปรเจ็กต์ระดมทุนบนเว็บไซต์ชื่อดังอย่าง Kickstarter.com (หน้าเว็บระดมทุน Pebble) แหล่งสำหรับการนำไอเดียสร้างสรรค์ไปขอทุนจากคนออนไลน์ทั่วโลกเพื่อทำความฝันให้เป็นความจริง Pebble สร้างประวัติการณ์ด้วยการระดมทุนได้มากกว่า 10 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ จากผู้สนับสนุนเกือบ 70,000 คน จากนั้นก็เกิด Pebble ตัวเป็น ๆ ขึ้นมาให้เราได้สัมผัสกันจนทุกวันนี้
จุดเด่นของ Pebble Smartwatch คือ
· Pebble สามารถใช้งานได้ทั้งใน Android และ ios ซึ่งต่างจาก Galaxy Gear และ Sony Smartwatch ที่สนับสนุนเพียง Andriod เท่านั้นอย่างแน่นอน ส่วน Apple iWatch ก็คงต้องรอดูกันต่อไป
· Pebble มีอายุการใช้งานแบตเตอร์รี่ได้ 5-7 วัน ซึ่งเป็นจุดเด่นของนาฬิกาข้อมือเลยทีเดียว ผิดกับตัวอื่นที่แบตอยู่ได้ประมาณ 1 วัน เหลือเชื่อใหมละครับ
· Pebble กันน้ำแบบเต็มตัวได้ถึง 50m (ใส่ว่ายน้ำได้เลยล่ะ)
· Pebble มีราคาที่ค่อนข้างต่ำเมื่อเทียบกับ Smartwatch ตัวอื่น
· Pebble สามารถใช้งานได้ทั้งใน Android และ ios ซึ่งต่างจาก Galaxy Gear และ Sony Smartwatch ที่สนับสนุนเพียง Andriod เท่านั้นอย่างแน่นอน ส่วน Apple iWatch ก็คงต้องรอดูกันต่อไป
· Pebble มีอายุการใช้งานแบตเตอร์รี่ได้ 5-7 วัน ซึ่งเป็นจุดเด่นของนาฬิกาข้อมือเลยทีเดียว ผิดกับตัวอื่นที่แบตอยู่ได้ประมาณ 1 วัน เหลือเชื่อใหมละครับ
· Pebble กันน้ำแบบเต็มตัวได้ถึง 50m (ใส่ว่ายน้ำได้เลยล่ะ)
· Pebble มีราคาที่ค่อนข้างต่ำเมื่อเทียบกับ Smartwatch ตัวอื่น
หากใครกำลังคิดว่าแบรนด์ไม่คุ้นชื่อนั้น ต้องเปลี่ยนความคิดกันเลยครับ
· ไม่คุ้นชื่อเลย แต่อย่าดูถูกเป็นอันขาดนะครับ ผลงานของแบรนด์นี้ออกมาดีเกินคาด ในวงการต่างประเทศมีการพูดถึงเป็นอย่างมากที่มากที่สุด ขอย้ำครับ ต่างประเทศ ฮิตมาก ทำให้แบรนด์อื่นๆดูด้อยไปเลยละครับ
· เหตุผลที่มีชื่อเสียง เนื่องจากเขาได้ทำ Smartwatch ตัวนี้และนำไปโปรโมตขอเงินทุนผ่านhttps://www.kickstarter.com โดยเงินทุนที่เขาคาดหวังนั้นคือ $100,000 แต่มีผู้ให้ความสนใจและสนับสนุนเงินเกือบ 69,000 ราย และยอดรวมกว่า $10,000,000 (เกินความคาดหมาย 100 เท่า)จาก เว็บ kickstarter.com ซึ่งเป็นเว็บไซต์ที่เหล่าผู้ประกอบการคิดผลงานไอเดียดีๆ แต่ไม่มีเงินลงทุน มาโปรโมตสินค้าหรือบริการของตัวเองเพื่อขอเงินทุน ซึ่งเป็นเว็บที่ดีและมีชื่อเสียงมากๆครับ
รองรับ Android, iOS เวอร์ชั่น
· Android 2.3.3+
· ใช้งานบน iOS 5 ขึ้นไป แต่สมบูรณ์แบบบน iOS 6 – 7
· iOS 5 ไม่รองรับระบบ Notification นะครับ ระวังให้ดี!!!!! สิ่งที่ใช้ได้มีเพียง คนโทรเข้า, ควบคุมเพลง, App บน Pebble, หน้าปัดนาฬิกา เอาเป็นว่าถ้าใครใช้ iOS 5 แล้วไม่คิดจะ Update ผมคิดว่า Pebble ไม่คุ้มค่าสำหรับคุณ
วัสดุทำจาก
· ทำจากพลาสติกทั้งเรือน แต่ไม่กิ๊กก็อก การประกอบค่อนข้างประนีต
· ปุ่มกดทุกปุ่มรับประกันว่าแข็งแรงมาก เสียได้ยาก
· หากไม่ใช้อย่างทารุณโหดร้าย มันเป็นนาฬิกาที่ค่อนข้างทนเลยครับ
· เปลี่ยนสายได้ โดยสายมีขนาด 22 mm
ชาร์จแบตยังไง ชาร์จกี่ชั่วโมง
· ที่ชาร์จแบตจะเป็นหัวแม่เหล็กใช้ติดกับตัวนาฬิกาเวลาชาร์จ
· ชาร์จจาก 0% ไปจน 100% ใช้เวลาเพียง 2-3 ชั่วโมงเท่านั้น
· ชาร์จผ่าน USB
รองรับภาษาไทยไหม
· Firmware ต้นฉบับจากทางผู้ผลิตนั้นไม่รองรับภาษาไทยอย่างเป็นทางการ แต่เราสามารถลง Firmware ภาษาไทยได้จากhttps://pebblebits.com/firmware/
ทำอะไรได้บ้าง
สรุปคุณสมบัติเด่นๆ เป็นข้อง่ายๆ เลยละกัน
· สามารถเปลี่ยนหน้าปัดตามใจชอบได้ ซึ่งมีให้ดาวน์โหลดกว่าหลายร้อยแบบทั้ง analog (เข็ม), digital หรือแม้กระทั่งบอกวันเดือนปีอุณหภูมิ (อารมณ์ซื้อนาฬิกาเรือนนึง แต่เปลี่ยนหน้าปัดได้ตลอดเวลา) สามารถดูตัวอย่างหน้าปัดได้ที่ https://www.mypebblefaces.com
· มีระบบสั่นแจ้งเตือน Notification จาก iPhone และ Android กล่าวคือหากมือถือคุณเตือนอะไร Pebble ก็จะสั่นเตือนด้วย พร้อมบอกข้อความเตือนที่หน้าปัดทันที แต่ไม่สามารถตอบกลับได้ (read-only)
· เมื่อมีคนโทรเข้า Pebble ก็จะสั่นเช่นกัน คุณสามารถกดรับหรือตัดสายผ่าน Pebble ได้ทันที (แต่คุยไม่ได้นะ กดรับสายได้อย่างเดียว แล้วก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาคุย *0*)
· เปลี่ยนเพลงผ่าน Pebble ได้โดยไม่ต้องหยิบมือถือขึ้นมากด
· มีนาฬิกาปลุกไร้เสียง (แต่สั่นรัวๆ แบบโหดร้าย)
· มี App ต่างๆ มากมายให้ดาวน์โหลด เช่นเกม, App ออกกำลังกายต่างๆ ที่สำคัญ หากคุณเป็นโปรแกรมเมอร์ คุณสามารถพัฒนา App ได้ด้วย (ภาษา C TwT)
· จอ Pebble เป็นสีขาวดำ ใช้เทคโนโลยี E-Paper ซึ่งการแสดงผลจะเหมือนเรามองกระดาษ (อารมณ์ E-Ink ใน Amazon Kindle) ทำให้สามารถมองในที่จ้าได้อย่างไม่มีปัญหา และตัวจอมีระบบ Backlight ทำให้มองในที่มืดได้เพียงแค่สลัดข้อมือเท่านั้น
· กันน้ำและฝุ่นละอองได้ โดยจากการทดสอบสามารถใส่ว่ายน้ำได้
Sync กับมือถือด้วยระบบ
· Bluetooth ครับ โดยใน Android และ iOS จะมี App Pebble Smartwatch ให้ดาวน์โหลด
· เวลาจะเพิ่มข้อมูลหรือลง App ให้กับ Pebble จะต้องลงผ่าน App Pebble Smartwatch ในมือถือ
· บั่นทอนแบตมือถือเพิ่มขึ้นประมาณ 4-5% เทียบกับการใช้งานปกติที่ไม่ได้เชื่อมต่อกับ Pebble
· ถ้าไม่ได้ Sync กับมือถือ ยังคงใช้งานได้ปกติ โดยสามารถดูเป็นนาฬิกาทั่วไป รวมถึงใช้ App ที่พัฒนาใน Pebble ได้เหมือนเดิม
· ไม่คุ้นชื่อเลย แต่อย่าดูถูกเป็นอันขาดนะครับ ผลงานของแบรนด์นี้ออกมาดีเกินคาด ในวงการต่างประเทศมีการพูดถึงเป็นอย่างมากที่มากที่สุด ขอย้ำครับ ต่างประเทศ ฮิตมาก ทำให้แบรนด์อื่นๆดูด้อยไปเลยละครับ
· เหตุผลที่มีชื่อเสียง เนื่องจากเขาได้ทำ Smartwatch ตัวนี้และนำไปโปรโมตขอเงินทุนผ่านhttps://www.kickstarter.com โดยเงินทุนที่เขาคาดหวังนั้นคือ $100,000 แต่มีผู้ให้ความสนใจและสนับสนุนเงินเกือบ 69,000 ราย และยอดรวมกว่า $10,000,000 (เกินความคาดหมาย 100 เท่า)จาก เว็บ kickstarter.com ซึ่งเป็นเว็บไซต์ที่เหล่าผู้ประกอบการคิดผลงานไอเดียดีๆ แต่ไม่มีเงินลงทุน มาโปรโมตสินค้าหรือบริการของตัวเองเพื่อขอเงินทุน ซึ่งเป็นเว็บที่ดีและมีชื่อเสียงมากๆครับ
รองรับ Android, iOS เวอร์ชั่น
· Android 2.3.3+
· ใช้งานบน iOS 5 ขึ้นไป แต่สมบูรณ์แบบบน iOS 6 – 7
· iOS 5 ไม่รองรับระบบ Notification นะครับ ระวังให้ดี!!!!! สิ่งที่ใช้ได้มีเพียง คนโทรเข้า, ควบคุมเพลง, App บน Pebble, หน้าปัดนาฬิกา เอาเป็นว่าถ้าใครใช้ iOS 5 แล้วไม่คิดจะ Update ผมคิดว่า Pebble ไม่คุ้มค่าสำหรับคุณ
วัสดุทำจาก
· ทำจากพลาสติกทั้งเรือน แต่ไม่กิ๊กก็อก การประกอบค่อนข้างประนีต
· ปุ่มกดทุกปุ่มรับประกันว่าแข็งแรงมาก เสียได้ยาก
· หากไม่ใช้อย่างทารุณโหดร้าย มันเป็นนาฬิกาที่ค่อนข้างทนเลยครับ
· เปลี่ยนสายได้ โดยสายมีขนาด 22 mm
ชาร์จแบตยังไง ชาร์จกี่ชั่วโมง
· ที่ชาร์จแบตจะเป็นหัวแม่เหล็กใช้ติดกับตัวนาฬิกาเวลาชาร์จ
· ชาร์จจาก 0% ไปจน 100% ใช้เวลาเพียง 2-3 ชั่วโมงเท่านั้น
· ชาร์จผ่าน USB
รองรับภาษาไทยไหม
· Firmware ต้นฉบับจากทางผู้ผลิตนั้นไม่รองรับภาษาไทยอย่างเป็นทางการ แต่เราสามารถลง Firmware ภาษาไทยได้จากhttps://pebblebits.com/firmware/
ทำอะไรได้บ้าง
สรุปคุณสมบัติเด่นๆ เป็นข้อง่ายๆ เลยละกัน
· สามารถเปลี่ยนหน้าปัดตามใจชอบได้ ซึ่งมีให้ดาวน์โหลดกว่าหลายร้อยแบบทั้ง analog (เข็ม), digital หรือแม้กระทั่งบอกวันเดือนปีอุณหภูมิ (อารมณ์ซื้อนาฬิกาเรือนนึง แต่เปลี่ยนหน้าปัดได้ตลอดเวลา) สามารถดูตัวอย่างหน้าปัดได้ที่ https://www.mypebblefaces.com
· มีระบบสั่นแจ้งเตือน Notification จาก iPhone และ Android กล่าวคือหากมือถือคุณเตือนอะไร Pebble ก็จะสั่นเตือนด้วย พร้อมบอกข้อความเตือนที่หน้าปัดทันที แต่ไม่สามารถตอบกลับได้ (read-only)
· เมื่อมีคนโทรเข้า Pebble ก็จะสั่นเช่นกัน คุณสามารถกดรับหรือตัดสายผ่าน Pebble ได้ทันที (แต่คุยไม่ได้นะ กดรับสายได้อย่างเดียว แล้วก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาคุย *0*)
· เปลี่ยนเพลงผ่าน Pebble ได้โดยไม่ต้องหยิบมือถือขึ้นมากด
· มีนาฬิกาปลุกไร้เสียง (แต่สั่นรัวๆ แบบโหดร้าย)
· มี App ต่างๆ มากมายให้ดาวน์โหลด เช่นเกม, App ออกกำลังกายต่างๆ ที่สำคัญ หากคุณเป็นโปรแกรมเมอร์ คุณสามารถพัฒนา App ได้ด้วย (ภาษา C TwT)
· จอ Pebble เป็นสีขาวดำ ใช้เทคโนโลยี E-Paper ซึ่งการแสดงผลจะเหมือนเรามองกระดาษ (อารมณ์ E-Ink ใน Amazon Kindle) ทำให้สามารถมองในที่จ้าได้อย่างไม่มีปัญหา และตัวจอมีระบบ Backlight ทำให้มองในที่มืดได้เพียงแค่สลัดข้อมือเท่านั้น
· กันน้ำและฝุ่นละอองได้ โดยจากการทดสอบสามารถใส่ว่ายน้ำได้
Sync กับมือถือด้วยระบบ
· Bluetooth ครับ โดยใน Android และ iOS จะมี App Pebble Smartwatch ให้ดาวน์โหลด
· เวลาจะเพิ่มข้อมูลหรือลง App ให้กับ Pebble จะต้องลงผ่าน App Pebble Smartwatch ในมือถือ
· บั่นทอนแบตมือถือเพิ่มขึ้นประมาณ 4-5% เทียบกับการใช้งานปกติที่ไม่ได้เชื่อมต่อกับ Pebble
· ถ้าไม่ได้ Sync กับมือถือ ยังคงใช้งานได้ปกติ โดยสามารถดูเป็นนาฬิกาทั่วไป รวมถึงใช้ App ที่พัฒนาใน Pebble ได้เหมือนเดิม
>>> Line ID:man4460
IG:man4460
สำหรับ Apple Watch นั้นเปิดตัวไปเมื่อวันที่ 9 กันยายน 2557 โดยมีทั้งหมด 3 รุ่นย่อย ด้วยกันได้แก่ Apple Watch, Apple Watch Sport และ Apple Watch Edition ซึ่งทั้ง 3 รุ่นย่อย ขับเคลื่อนการทำงานด้วยระบบปฏิบัติการ iOS, ใช้จอแสดงผลแบบ Retina Display IPS LCD ขนาด 1.5 นิ้ว, ระบบการสั่นไหวแบบ Taptic Engine ที่ให้ความแรงของการสั่นไหวที่สูงเป็นพิเศษ รวมไปถึงประมวลผลการทำงานด้วย ชิปเซ็ต Apple S1 และที่พิเศษไปกว่านั้น Apple Watch ยังรองรับการเก็บบันทึกข้อมูลแบบ Cloud Storage ด้วยบริการ iCloud Service อีกด้วย
คุณสมบัติโดยรวมของ Apple Watch
- ขนาดตัวเรือน 42 มิลลิเมตร หรือ 38 มิลลิเมตร (ขึ้นอยู่กับแต่ละโมเดลย่อย)
- ชนิดจอแสดงผลแบบ Retina Display IPS LCD ขนาด 1.5 นิ้ว ความละเอียด 272x340 Pixels หรือขนาด 1.65 นิ้ว ความละเอียด 312x390 Pixels (ขึ้นอยู่กับแต่ละโมเดลย่อย)
- สั่งงานด้วยระบบสัมผัสบนหน้าจอแสดงผล (Touch Screen)
- ระบบตรวจจับความเคลื่อนไหวแบบ 3-Axis Gyro Sensor
- ระบบ Accelerometer Sensor ช่วยหมุนหรือปรับเปลี่ยนทิศทางการแสดงผลของหน้าจอให้แบบอัตโนมัติ ตามลักษณะการจับถือของผู้ใช้
- ฟังก์ชัน Ambient Light Sensor สำหรับตรวจวัดระดับความสว่างของสภาพแวดล้อม เพื่อปรับความสว่างของหน้าจอให้เหมาะสม
- ระบบการสั่นไหวแบบ Taptic Engine
- เซ็นเซอร์วัดอัตราการเต้นของหัวใจ
- ประมวลผลการทำงานด้วย ชิปเซ็ต Apple S1
- รองรับการเก็บบันทึกข้อมูลแบบ Cloud Storage ด้วยบริการ iCloud Service
- ขับเคลื่อนการทำงานด้วยระบบปฏิบัติการ iOS
- รองรับการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตผ่าน WiFi (WLAN : Wireless LAN : 802.11 b/g)
- Bluetooth เวอรืชัน 4.0
- ระบบ GPS ในตัว (Global Positioning System : ระบบดาวเทียมนำร่อง)
- เปิดตัวครั้งแรก เมื่อ เดือนกันยายน ปี ค.ศ. 2014
โดยรุ่น Apple Watch จะเป็นรุ่นปกติ ซึ่งตัวเรือนนั้นทำจาก Stainless Steel พร้อมเทคโนโลยีกระจกหน้าจอแบบ Sapphire และวางจำหน่ายในราคา 349$ (ประมาณ 12,000 บาท)
รุ่น Apple Watch Sport คือรุ่นที่ตัวเรือนนั้นทำมาจาก Anodised Aluminium พร้อมเทคโนโลยีกระจกหน้าจอแบบ Ion-X และวางจำหน่ายในราคา 500$ (ประมาณ 16,000 บาท)
รุ่น Apple Watch Edition คือรุ่นที่ตัวเรือนเป็นทองคำ 18 กะรัต พร้อมเทคโนโลยีกระจกหน้าจอแบบ Sapphire และวางจำหน่ายในราคา 5000$ (ประมาณ 160,000 บาท) โดยทั้ง 3 รุ่น นั้่นจะเริ่มวางจำหน่ายในช่วงต้นปี ค.ศ. 2015
>>> Line ID:man4460
https://www.facebook.com/man4460
Samsung Gear S สมาร์ทวอทช์ระดับไฮเอนด์จาก ซัมซุง ที่มีความพิเศษเหนือชั้นไปอีกขั้น โดยสามารถรองรับการใส่ซิมการ์ด พร้อมทั้งยังสามารถโทรออกไปยังสมาร์ทโฟนอื่นๆ ได้อีกด้วย รวมไปถึงการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตผ่านระบบ WiFi และ 3G ซึ่งเป็นเสมือนสมาร์ทโฟนที่อยู่บนข้อมือเลยทีเดียว
คุณสมบัติโดยรวมของ Samsung Gear S
- ใช้งานร่วมกับซิมการ์ดแบบ nanoSIM เท่านั้น
- ขนาด 58.3x39.8x12.5 มิลลิเมตร
- ตัวเครื่องมีคุณสมบัติในการป้องกันน้ำ และป้องกันฝุ่น ตามมาตรฐาน IP67
- ชนิดจอแสดงผลแบบ Super AMOLED ขนาด 2.0 นิ้ว ความละเอียด 360x480 Pixels
- สั่งงานด้วยระบบสัมผัสบนหน้าจอแสดงผล (Touch Screen)
- ระบบตรวจจับความเคลื่อนไหวแบบ Gyroscope
- ระบบ Accelerometer Sensor ช่วยหมุนหรือปรับเปลี่ยนทิศทางการแสดงผลของหน้าจอให้แบบอัตโนมัติ ตามลักษณะการจับถือของผู้ใช้
- ฟังก์ชัน Ambient Light Sensor สำหรับตรวจวัดระดับความสว่างของสภาพแวดล้อม เพื่อปรับความสว่างของหน้าจอให้เหมาะสม
- เซ็นเซอร์วัดอัตราการเต้นของหัวใจ
- หน่วยประมวลผลแบบ Dual-Core ความเร็ว 1 GHz
- ขับเคลื่อนการทำงานด้วยระบบปฏิบัติการ Tizen
- หน่วยความจำภายในสำหรับเก็บบันทึกข้อมูลขนาด 4 GB
- หน่วยความจำ RAM ขนาด 512 MB
- รองรับการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตผ่านระบบ WiFi (WLAN : Wireless LAN : 802.11 b/g/n) และ 3G Dual Band (900/2100 MHz)
- Bluetooth เวอร์ชัน 4.0
- ระบบ GPS ในตัว (Global Positioning System : ระบบดาวเทียมนำร่อง)
- ชนิดแบตเตอรี่ Li-Ion 300 mAh
- ระดับการใช้งานปกติ : แบตเตอรี่สามารถใช้งานต่อเนื่องได้นาน 24 ชั่วโมง ต่อการชาร์จ 1 ครั้ง
- ระดับการใช้งานน้อย : แบตเตอรี่สามารถอยู่ได้นาน 2 วัน ต่อการชาร์จ 1 ครั้ง
- เปิดตัวครั้งแรก เมื่อ เดือนสิงหาคม ปี ค.ศ. 2014
- ราคา 11,900 บาท
- ขนาด 58.3x39.8x12.5 มิลลิเมตร
- ตัวเครื่องมีคุณสมบัติในการป้องกันน้ำ และป้องกันฝุ่น ตามมาตรฐาน IP67
- ชนิดจอแสดงผลแบบ Super AMOLED ขนาด 2.0 นิ้ว ความละเอียด 360x480 Pixels
- สั่งงานด้วยระบบสัมผัสบนหน้าจอแสดงผล (Touch Screen)
- ระบบตรวจจับความเคลื่อนไหวแบบ Gyroscope
- ระบบ Accelerometer Sensor ช่วยหมุนหรือปรับเปลี่ยนทิศทางการแสดงผลของหน้าจอให้แบบอัตโนมัติ ตามลักษณะการจับถือของผู้ใช้
- ฟังก์ชัน Ambient Light Sensor สำหรับตรวจวัดระดับความสว่างของสภาพแวดล้อม เพื่อปรับความสว่างของหน้าจอให้เหมาะสม
- เซ็นเซอร์วัดอัตราการเต้นของหัวใจ
- หน่วยประมวลผลแบบ Dual-Core ความเร็ว 1 GHz
- ขับเคลื่อนการทำงานด้วยระบบปฏิบัติการ Tizen
- หน่วยความจำภายในสำหรับเก็บบันทึกข้อมูลขนาด 4 GB
- หน่วยความจำ RAM ขนาด 512 MB
- รองรับการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตผ่านระบบ WiFi (WLAN : Wireless LAN : 802.11 b/g/n) และ 3G Dual Band (900/2100 MHz)
- Bluetooth เวอร์ชัน 4.0
- ระบบ GPS ในตัว (Global Positioning System : ระบบดาวเทียมนำร่อง)
- ชนิดแบตเตอรี่ Li-Ion 300 mAh
- ระดับการใช้งานปกติ : แบตเตอรี่สามารถใช้งานต่อเนื่องได้นาน 24 ชั่วโมง ต่อการชาร์จ 1 ครั้ง
- ระดับการใช้งานน้อย : แบตเตอรี่สามารถอยู่ได้นาน 2 วัน ต่อการชาร์จ 1 ครั้ง
- เปิดตัวครั้งแรก เมื่อ เดือนสิงหาคม ปี ค.ศ. 2014
- ราคา 11,900 บาท
>>> Line ID:man4460
https://www.facebook.com/man4460
Sony SmartWatch 3 SWR50 สมาร์ทวอทช์รุ่นต่อยอด ที่ทำงานอยู่บนระบบปฏิบัติการ Android Wear ตัวแรกจากค่าย Sony ซึ่งมีฟีเจอร์ต่างๆ มากมาย ไม่ว่าจะเป็น การแจ้งเตือนข้อความ SMS, การแจ้งเตือนอีเมล, แผนที่, การนับก้าว, การแสดงการพยากรณ์อากาศ และบริการจากกูเกิล รวมไปถึงประมวลผลการทำงานด้วย Quad-Core ARM A7 Processor ความเร็ว 1.2 GHz และที่พิเศษไปกว่านั้น คือสามารถรองรับการสื่อสารข้อมูลระยะใกล้แบบ NFC ได้อีกด้วย
คุณสมบัติโดยรวมของ Sony SmartWatch 3 SWR50
- ขนาด 36x10x51 มิลลิเมตร
- น้ำหนัก 45 กรัม
- ตัวเครื่องมีคุณสมบัติในการป้องกันน้ำ และป้องกันฝุ่น ตามมาตรฐาน IP68
- ชนิดจอแสดงผลแบบ TFT LCD ขนาด 1.6 นิ้ว ความละเอียด 320x320 Pixels
- สั่งงานด้วยระบบสัมผัสบนหน้าจอแสดงผล (Touch Screen)
- ระบบตรวจจับความเคลื่อนไหวแบบ Gyroscope
- ระบบ Accelerometer Sensor ช่วยหมุนหรือปรับเปลี่ยนทิศทางการแสดงผลของหน้าจอให้แบบอัตโนมัติ ตามลักษณะการจับถือของผู้ใช้
- ฟังก์ชัน Ambient Light Sensor สำหรับตรวจวัดระดับความสว่างของสภาพแวดล้อม เพื่อปรับความสว่างของหน้าจอให้เหมาะสม
- เข็มทิศ
- ประมวลผลการทำงานด้วย Quad-Core ARM A7 Processor ความเร็ว 1.2 GHz
- ขับเคลื่อนการทำงานด้วยระบบปฏิบัติการ Android Wear
- Bluetooth เวอร์ชัน 4.0 LE
- รองรับการสื่อสารข้อมูลระยะใกล้แบบ NFC
- ระบบ GPS ในตัว (Global Positioning System : ระบบดาวเทียมนำร่อง)
- หน่วยความจำภายในสำหรับเก็บบันทึกข้อมูลขนาด 4 GB
- หน่วยความจำ RAM ขนาด 512 MB
- แบตเตอรี่ 420 mAh
- ระดับการใช้งานปกติ : แบตเตอรี่สามารถใช้งานต่อเนื่องได้นาน 2 วัน
- เปิดตัวครั้งแรก เมื่อ เดือนกันยายน ปี ค.ศ. 2014
- ราคา 229.99 ยูโร (ประมาณ 9,600 บาท)
- น้ำหนัก 45 กรัม
- ตัวเครื่องมีคุณสมบัติในการป้องกันน้ำ และป้องกันฝุ่น ตามมาตรฐาน IP68
- ชนิดจอแสดงผลแบบ TFT LCD ขนาด 1.6 นิ้ว ความละเอียด 320x320 Pixels
- สั่งงานด้วยระบบสัมผัสบนหน้าจอแสดงผล (Touch Screen)
- ระบบตรวจจับความเคลื่อนไหวแบบ Gyroscope
- ระบบ Accelerometer Sensor ช่วยหมุนหรือปรับเปลี่ยนทิศทางการแสดงผลของหน้าจอให้แบบอัตโนมัติ ตามลักษณะการจับถือของผู้ใช้
- ฟังก์ชัน Ambient Light Sensor สำหรับตรวจวัดระดับความสว่างของสภาพแวดล้อม เพื่อปรับความสว่างของหน้าจอให้เหมาะสม
- เข็มทิศ
- ประมวลผลการทำงานด้วย Quad-Core ARM A7 Processor ความเร็ว 1.2 GHz
- ขับเคลื่อนการทำงานด้วยระบบปฏิบัติการ Android Wear
- Bluetooth เวอร์ชัน 4.0 LE
- รองรับการสื่อสารข้อมูลระยะใกล้แบบ NFC
- ระบบ GPS ในตัว (Global Positioning System : ระบบดาวเทียมนำร่อง)
- หน่วยความจำภายในสำหรับเก็บบันทึกข้อมูลขนาด 4 GB
- หน่วยความจำ RAM ขนาด 512 MB
- แบตเตอรี่ 420 mAh
- ระดับการใช้งานปกติ : แบตเตอรี่สามารถใช้งานต่อเนื่องได้นาน 2 วัน
- เปิดตัวครั้งแรก เมื่อ เดือนกันยายน ปี ค.ศ. 2014
- ราคา 229.99 ยูโร (ประมาณ 9,600 บาท)
>>> Line ID:man4460
https://www.facebook.com/man4460
คุณสมบัติโดยรวมของ Asus Zen Watch
Asus Zen Watch สมาร์ทวอทช์รุ่นแรกจากค่าย Asus ที่มาพร้อมวัสดุชั้นดี และมีการการดีไซน์ที่เรียบหรู โดยจะมีจอแสดงผลแบบ AMOLED ขนาด 1.63 นิ้ว และกระจกหน้าจอแบบ Corning Gorilla Glass 3 รวมไปถึงระบบปฏิบัติการ Android Wear ซึ่งมีฟีเจอร์ต่างๆ มากมาย ไม่ว่าจะเป็น การแจ้งเตือนข้อความ SMS, การแจ้งเตือนอีเมล, แผนที่, การนับก้าว, การแสดงพยากรณ์อากาศ และบริการอื่นๆ จากกูเกิล
คุณสมบัติโดยรวมของ Asus Zen Watch
- ขนาด 51x39.9x7.9 มิลลิเมตร
- น้ำหนัก 50 กรัม
- ตัวเครื่องมีคุณสมบัติในการป้องกันน้ำ และป้องกันฝุ่น ตามมาตรฐาน IP55
- ชนิดจอแสดงผลแบบ AMOLED ขนาด 1.63 นิ้ว ความละเอียด 320x320 Pixels
- กระจกหน้าจอแบบ Corning Gorilla Glass 3 ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการป้องกันแรงกระแทก หรือรอยขีดข่วน
- สั่งงานด้วยระบบสัมผัสบนหน้าจอแสดงผล (Touch Screen)
- 9 Axis Sensor (Gyro+Accelerometer+Compass)
- Bio Sensor
- เซ็นเซอร์เพื่อสุขภาพ
- หน่วยประมวลผลแบบ Qualcomm Snapdragon 400 ความเร็ว 1.2 GHz
- ขับเคลื่อนการทำงานด้วยระบบปฏิบัติการ Android Wear
- Bluetooth เวอร์ชัน 4.0 LE
- แบตเตอรี่ Li-Ion Polymer 1.4Wh
- เปิดตัวครั้งแรก เมื่อ เดือนกันยายน ปี ค.ศ. 2014
- ราคา 199 ยูโร (ประมาณ 8,000 บาท)
- น้ำหนัก 50 กรัม
- ตัวเครื่องมีคุณสมบัติในการป้องกันน้ำ และป้องกันฝุ่น ตามมาตรฐาน IP55
- ชนิดจอแสดงผลแบบ AMOLED ขนาด 1.63 นิ้ว ความละเอียด 320x320 Pixels
- กระจกหน้าจอแบบ Corning Gorilla Glass 3 ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการป้องกันแรงกระแทก หรือรอยขีดข่วน
- สั่งงานด้วยระบบสัมผัสบนหน้าจอแสดงผล (Touch Screen)
- 9 Axis Sensor (Gyro+Accelerometer+Compass)
- Bio Sensor
- เซ็นเซอร์เพื่อสุขภาพ
- หน่วยประมวลผลแบบ Qualcomm Snapdragon 400 ความเร็ว 1.2 GHz
- ขับเคลื่อนการทำงานด้วยระบบปฏิบัติการ Android Wear
- Bluetooth เวอร์ชัน 4.0 LE
- แบตเตอรี่ Li-Ion Polymer 1.4Wh
- เปิดตัวครั้งแรก เมื่อ เดือนกันยายน ปี ค.ศ. 2014
- ราคา 199 ยูโร (ประมาณ 8,000 บาท)
>>> Line ID:man4460
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น