วันพุธที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2558

บริการ All Thai Taxi นวตกรรมสู่ยุคอนาคต!!

all-thai-taxi-app-02วันที่ 27 เมษายน 2558 โครงการ All Thai Taxi หรือแท็กซี่ในฝัน จากนครชัยแอร์ เริ่มให้บริการเป็นวันแรกและเป็นการทดสอบระบบการเรียกแท็กซี่ผ่านทางแอปพลิเคชั่น All Thai Taxi ซึ่งได้ปล่อยรุ่นทดสอบแล้วเฉพาะบนระบบปฏิบัติการ Android  โดยสามารถดาวน์โหลดแอพเรียกแท็กซี่ All Thai Taxi ได้ทาง Play Store ส่วน iOS ยังต้องรอต่อไปอยู่ในระหว่างการพัฒนา 

โดยเงื่อนไขในการใช้งานแอพ All Thai Taxi ในการเรียกแท็กซี่คือ ค่าเรียกใช้บริการครั้งละ 20 บาท  + ค่าโดยสารตามมิเตอร์ปกติ (กรณีโบกเรียก ซึ่งรถขึ้นสถานะ “ว่าง” จะไม่เสียค่าบริการ 20 บาท ชำระเฉพาะค่าโดยสารตามมิเตอร์ปกติ )

ในกรณีหากเรียกแล้วแต่ต้องการยกเลิก ต้องกดยกเลิกภายใน 5 นาทีหลังจากเรียกใช้ ถึงจะไม่คิดค่าบริการ  ซึ่งถ้ายกเลิกบริการช้ากว่า 5 นาทีหลังจากเรียกใช้แล้ว หรือ  ผู้โดยสารไม่อยู่ที่จุดนัดเกินกว่า 5 นาที คิดค่าบริการครั้งละ 100 บาท

all-thai-taxi-app-01การสมัครสมาชิกแอพ All Thai Taxi สามารถสมัครได้ผ่านทางแอพ โดยกรอกชื่ออีเมลแล้ว ตั้งรหัสผ่าน และใส่เบอร์โทรศัพท์สำหรับการสมัครสมาชิกครั้งแรก และเมื่อ Login เข้าสู่ระบบแล้ว ให้เลือกที่ บัญชีผู้ใช้งาน สามารถใส่ข้อมูลเพิ่มเติมเช่น ชื่อ นามสกุล เพศ วันเกิด ใส่รูปภาพ หมายเลขบัตรเครดิตในกรณีมีบัตรเครดิต เมื่อตั้งค่าบัญชีผู้ใช้งานแล้ว เลือกที่ เรียกแท็กซี่ เพื่อไประบุพิกัด รับผู้โดยสาร และระบุพิกัดปลายทางที่จะไป  แล้วแตะที่เรียกแท็กซี่   แอพ ALL Thai Taxi ก็จะทำการเรียกแท็กซี่มารับตามที่คุณระบุในแผนที่ แล้วไปส่งคุณตามที่คุณระบุปลายทาง

สำหรับรถที่ให้บริการ All Thai Taxi ในช่วงทดสอบนี้ จำนวน 40 คัน ส่วนการให้บริการเต็มรูปแบบจะเริ่มในวันที่ 15 พฤษภาคมนี้ 

Credit ข่าวจาก iT24Hrs
https://www.facebook.com/man4460

วันจันทร์ที่ 27 เมษายน พ.ศ. 2558

แอพ Hello เชื่อมต่อกับข้อมูลบน facebook


ช่วงนี้หลายท่านต้องใช้รายชื่อโทรศัพท์ ในการหารายชื่อเพื่อนแล้วโทรหากัน หรือเรารับสายเฉพาะรายชื่อที่อยู่ในหน้ารายชื่อโทรศัพท์ ( Contact ) เท่านั้น  แต่ล่าสุด facebook ได้ปล่อยแอพน้องใหม่ชื่อว่า Hello ซึ่งเป็นแอพโทรศัพท์บนระบบปฏิบัติการ Android โดยจุดเด่นของมันคือ รู้ว่าใครโทรเข้า แม้คุณไม่ได้เบอร์บันทึกเพื่อนคนนั้น หรือไม่มีรายชื่อใน contact ของเรา ก็ทราบได้ว่าใครโทรมา
facebook-hello-app-03ที่แอพ Hello ทราบได้ว่า ใครโทรมา ทั้งๆที่เราไม่ได้บันทึกเพื่อนคนนั้นในโทรศัพท์ เพราะแอพ Hello เชื่อมต่อกับข้อมูลบน facebook นั่นเอง เราจึงทราบได้ว่าใครโทรมา และเป็นเบื้องหลังที่ทำให้การลงทะเบียน facebook นี้จะเน้นข้อมูลจริง เพื่อให้บริการนี้จริงๆนั่นเอง หากเจอร้านค้าธุรกิจร้านค้าธุรกิจที่เปิดเป็นเพจบน facebook ด้วย สามารถโทรติดต่อง่ายขึ้นแค่กดไอคอนโทรศัพท์ก็ติดต่อทางร้านได้เลย
facebook-hello-app-04หากเป็นเบอร์ที่ไม่รู้จัก หรือเป็นเบอร์โทรสแปมต่างๆ ก็สามารถกด Block เพื่อบล็อกเบอร์ได้ เหมือนกับ Line Whoscall เลย
facebook-hello-app-05แอพ Hello เชื่อมต่อกับแอพหลักอย่าง Facebook ทำให้เรากดโทรออกจาก Facebook ได้เลย ค้นหาสะดวกทั้งชื่อคนและชื่อร้านค้าโรงแรมต่างๆ
ตอนนี้ แอพ Hello จาก facebook ได้ปล่อยลง Play Store ให้ดาวน์โหลดใช้งานแล้ว เพียงแต่สำหรับประเทศไทยยังไม่เปิดให้ดาวน์โหลด ณ ตอนนี้
ข้อมูลจาก Facebook News Room ,iT24Hrs
https://www.facebook.com/manpolistech

วันอาทิตย์ที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2558

ประวัติ


พ.ต.ต.เร๊าะมัน หะนิแร
ตำแหน่ง สารวัตรสืบสวน กองกำกับการสืบสวน 
กองบังคับการตำรวจภูธรจังหวัดเชียงใหม่

Tel:0815418771
Email:man4460@hotmail.com
Line ID:man4460
https://www.facebook.com/man4460
ผู้จัดทำเว็บไซต์นี้ เพื่อเผยแพร่ความรู้ให้กับผู้ที่สนใจ


ประหยัดไฟสุดๆ…เครื่องซักผ้าแบบใช้เท้าเหยียบ


นี่คือนวัตกรรมเครื่องซักผ้าที่ประหยัดไฟ เพราะไม่ได้ใช้ไฟฟ้าเลย อยากให้ผ้าสะอาดมากแค่ไหนใช้แรงคุณล้วนๆ เลยล่ะ

เรามาดูกันเลยครับ เครื่องซักผ้าตัวนี้มีชื่อว่า Drumi ที่เรียกได้ว่ารักษ์โลกสุดๆ เพราะใช้แรงเหยียบของคุณล้วนๆ โดยที่ไม่ได้ใช้ไฟฟ้าแต่อย่างใด  มันยังใช้น้ำน้อยกว่าเครื่องซักผ้าทั่วไปอีก ตัวเครื่องมีน้ำหนัก 15 ปอนด์ สูง 22 นิ้ว ใช้น้ำประมาณ 10 ลิตรเพื่อซักผ้า 2.2 กิโลกรัมหรือประมาณ 6-7 ชิ้น โดยใช้เวลาเหยียบแค่ 5 นาทีเท่านั้น แล้วเสื้อผ้าของคุณก็จะสะอาดเอี่ยม

ในการใช้งาน เพียงแค่เปิดฝาพลาสติกออกมา ใส่เสื้อผ้าลงในถังซักพร้อมน้ำ 5 ลิตร จากนั้นให้ปิดฝา ใส่น้ำยาซักผ้า น้ำยาปรับผ้านุ่มลงไป จากนั้นใช้เท้าเหยียบแป้นประมาณ 2 นาที จากนั้นให้กดปุ่มเทน้ำออก แล้วเทน้ำสะอาดลงไปอีก 5 ลิตรเหยียบต่ออีก 2 นาทีค่อยเทน้ำออก จากนั้นก็เหยียบต่ออีก 1 นาทีเพื่อเป็นการปั่นผ้า เท่านี้ก็เรียบร้อย

แน่นอนว่า Drumi ไม่สามารถแทนเครื่องซักผ้าแบบเดิมได้เต็มรูปแบบ แต่เหมาะสำหรับคนที่อยู่ในพื้นที่ที่จำกัดอย่างคอนโดหรืออพาร์ทเม้นต์ หรือเอาไว้ซักเสื้อผ้าน้อยๆ ชิ้นอย่างเสื้อผ้าเด็กทารก เอาไว้ใช้งานในแค้มป์ที่ไฟฟ้าเข้าไม่ถึง รวมถึงคนที่อยากช่วยรักษาสิ่งแวดล้อม แถมยังช่วยให้คุณได้ออกกำลังกายไปในตัวครับ

ถ้าใครสนใจ ตอนนี้ Drumi เริ่มเปิดให้สั่งจองล่วงหน้าแล้ว เสนอราคาขายอยู่ที่ $129 หรือประมาณ 4,200 บาท โดยจะเริ่มวางขายฤดูร้อนนี้

>>> https://www.facebook.com/man4460

วันศุกร์ที่ 24 เมษายน พ.ศ. 2558

มาแล้วตามคำเรียกร้องเปรียบเทียบ iPad Air 2 VS iPad Mini 3 ฉบับสรุป อ่าน 1 นาทีจบ!!


iPad Air 2

  • ขนาดเครื่องเท่าเดิม แต่บางลงเหลือ 6.1mm เป็นแท็บเล็ตที่บางที่สุดในโลก
  • มีให้เลือก 3 สี คือ เทาสเปซเกรย์, เงิน และสีทอง โทนเดียวกับ iPhone 6
  • เบาลงเล็กน้อย เหลือ 437 กรัม
  • ใช้ชิป A8X ทำให้เครื่องแรงขึ้น 40% แรงกว่า iPhone 6
  • ประมวลผลกราฟฟิกดีขึ้นถึง 4 เท่า เล่นเกมได้ภาพสวยขึ้น, ตัดต่อวิดีโอ, แต่งภาพได้ดีขึ้น
  • จอลดแสงสะท้อน เป็นจอแท็บเล็ตที่มีแสงสะท้อนน้อยสุดในโลก
  • สีสันของหน้าจอสวยงามขึ้นกว่ารุ่นก่อน
  • ความละเอียดกล้อง 8 ล้านพิกเซล ชัดสุดในบรรดา iPad ทั้งหมด
  • หน่วยประมวลผลภาพเทียบเท่า iPhone 6 ทำให้คุณภาพของภาพถ่ายอยู่ในระดับสูสี iPhone 6 มาก
  • ถ่ายวิดีโอ Full HD 1080p, พาโนรามา 43 ล้านพิกเซล, ถ่ายภาพต่อเนื่อง, ไทม์แลปส์ ฯลฯ คุณสมบัติเท่า iPhone 6
  • กล้องหน้า HD ถ่ายเซลฟี่ 10 ภาพ/วินาทีได้ ตั้งเวลาถ่ายได้ 
  • มีเซนเซอร์สแกนลายนิ้วมือ Touch ID ใช้ปลดล็อกเครื่อง และซื้อแอป ซื้อเพลงได้
  • แบตเตอรีอึด 10 ชั่วโมงเท่าเดิม
  • ไม่ขายรุ่น 32GB แล้ว
    • แต่เอารุ่น 64GB มาขายในราคา 32GB เดิม และ 128GB ในราคา 64GB เดิม
      (พูดง่าย ๆ คือ 64GB กับ 128GB ถูกลง 3,000 บาท)

สรุป iPad Air 2:
บางลง แรงขึ้น กล้องชัด แบตอึดเหมือนเดิม แถมรุ่น 64GB กับ 128GB ถูกลงด้วย ใครเล็ง iPad ใหม่เอาไว้ คราวนี้เห็นจะได้เสียเงินกันถ้วนหน้า
แม้แต่คนที่เล็ง iPad mini ไว้ เราก็แนะนำให้ซื้อ iPad Air ดีกว่า คุ้มกว่าเยอะ สเปคคนละเรื่องเลย

iPad mini 3

  • ขนาดตัวเครื่อง, น้ำหนัก, กล้อง, ดีไซน์, แบตเตอรี เหมือน iPad mini 2 ทุกประการ
  • เพิ่มมาแค่ มีสีทองให้เลือก (มีให้เลือก 3 สี คือ เทาสเปซเกรย์, เงิน และสีทอง)
  • และมีเซนเซอร์สแกนลายนิ้วมือ Touch ID ใช้ปลดล็อกเครื่อง และซื้อแอป ซื้อเพลงได้
  • แค่นั้น… จบ
กล้องยังคง 5 ล้านพิกเซลเท่าเดิม สเปคห่างชั้น iPad Air 2 มาก ๆ
และที่แอปเปิลไม่ได้พูดถึงเลย คือเรื่องหน้าจอ เพราะจอของ iPad mini 2 ยังมีคุณภาพเท่ายุค iPhone 4S เท่านั้น ในขณะที่จอ iPad Air 2 ไปไกลเท่า iPhone 6 เรียบร้อยแล้ว เรื่องคุณภาพจอต้องมารอดูเครื่องจริงอีกทีหนึ่ง

สรุป iPad mini 3:
ใครเล็ง iPad mini ขนาด 16GB หรือ 32GB อยู่ ซื้อ iPad mini 2 รุ่นเก่า ที่ปรับราคาลง 3,000 บาทได้เลย รุ่นใหม่ 16GB โคตรไม่คุ้ม แทบไม่มีอะไรเปลี่ยน นอกจากมีสีทอง มีสแกนนิ้ว ยังดีที่รุ่น 64GB กับ 128GB ถูกลง แค่นั้น

รวมราคา และ ส่วนลด โปรโมชั่น แต่ละค่าย
ราคา และ โปรโมชั่น AIS
ais_ipadair2_price
ข้อมูลเพิ่มเติม คลิ๊ก http://www.ais.co.th/ipad/promotion-th.html
ราคา และ โปรโมชั่น Dtac
 dtacipad_price
dtacipad_package
ข้อมูลเพิ่มเติม คลิ๊ก http://www.dtac.co.th/ipad-air-2/#Tab4
ราคา และ โปรโมชั่น True Move H
เครื่องมีราคาเดียวจะเครื่องเปล่า เปิดเบอร์ใหม่ หรือ พร้อมแพคก็เท่ากันหมด
truemove_ipad_air2_price
truemove_ipad_mini3_price
truemove_ipad_air2_package
ข้อมูลเพิ่มเติม คลิ๊ก http://www3.truecorp.co.th/ipad/tariff_package.html

>>> Credit Macstroke.com
>>> Credit xenonart.com
>>> https://www.facebook.com/man4460

คุณรู้จัก Cloud Computing แล้วหรือยัง..!!

Cloud Computing คืออะไร?

        หากพูดถึง คลาวด์คอมพิวติ้ง  (Cloud Computing) หลายคนอาจจะนึกถึงแค่บริการพื้นที่ฝากไฟล์บนอินเทอร์เน็ต อย่าง iCloud บน iPhone, iPad หรือ Google Drive บน Android หรือ OneDrive บนมือถือ Windows Phone ซึ่งสิ่งเหล่านี้คือบริการ Cloud Storage อันเป็นบริการ Cloud ประเภทหนึ่งเท่านั้น แต่อันที่จริงแล้ว บริการ Cloud Computing มีความหมายกว้างขวางกว่านั้นมาก

          Cloud Computing ครอบคลุมถึงบริการที่ให้ใช้กำลังประมวลผล หน่วยจัดเก็บข้อมูล และระบบออนไลน์ต่างๆจากผู้ให้บริการ เพื่อลดความยุ่งยากในการติดตั้ง ดูแลระบบ ช่วยประหยัดเวลา และลดต้นทุนในการสร้างระบบคอมพิวเตอร์และเครือข่ายเอง ซึ่งก็มีทั้งแบบบริการฟรีและแบบเก็บเงิน

         รู้จักคลาวด์คอมพิวติ้ง  (Cloud Computing) แบบเข้าใจง่าย

หากแปลความหมายของคำว่า Cloud Computing ดูจะเข้าใจยาก หรือถ้าแปลเป็นไทย “การประมวลผลบนกลุ่มเมฆ” ก็ยิ่งดูจะงงเข้าไปใหญ่ แต่น่าจะง่ายกว่าถ้าบอกว่า เป็นการที่เราใช้ซอฟต์แวร์, ระบบ, และทรัพยากรของเครื่องคอมพิวเตอร์ของผู้ให้บริการ ผ่านอินเทอร์เน็ต โดยสามารถเลือกกำลังการประมวลผล เลือกจำนวนทรัพยากร ได้ตามความต้องการในการใช้งาน และให้เราสามารถเข้าถึงข้อมูลบน Cloud จากที่ไหนก็ได้ ดังแผนภาพด้านล่างนี้นั่นเอง

cloud-computing-what-is-cloud-01

          จากภาพด้านบนนี้ จะเห็นว่าด้านในของกรอบที่เป็นก้อนเมฆก็คือทรัพยากรของผู้ให้บริการที่มีทั้ง Hardware และ Software (ซึ่งก็ทำงานบน Hardware ของผู้ให้บริการเช่นกัน) ผู้ใช้บริการเพียงแค่ต่อเชื่อมเข้าไปใช้ผ่าน Network ด้วยเว็บบราวเซอร์ หรือ Client แอพพลิเคชั่น บนอุปกรณ์ต่างๆของตน เช่น มือถือ, Tablet, Notebook, หรือ Chromebook เป็นต้น

          ทำไมบริการ คลาวด์คอมพิวติ้ง (Cloud Computing) จึงได้รับความนิยม?

Cloud Computing เป็นบริการที่เราใช้หรือเช่าใช้ระบบคอมพิวเตอร์หรือทรัพยากรด้านคอมพิวเตอร์ ของผู้ให้บริการ เพื่อนำมาใช้ในการทำงาน โดยที่เราไม่จำเป็นต้องลงทุนซื้อ Hardware และ Software เองทั้งระบบ ไม่ต้องวางระบบเครือข่ายเอง ลดความรับผิดชอบในการดูแลระบบลง (เพราะผู้ให้บริการจะเป็นผู้ดูแลให้เอง) แถมตอนอัพเกรดระบบยังทำได้ง่ายกว่า ผู้ใช้ทุกคนสามารถเข้าถึงระบบ ข้อมูลต่างๆ ผ่านอินเทอร์เน็ต สามารถจัดการ บริหารทรัพยากรของระบบ ผ่านเครือข่าย และมีการแบ่งใช้ทรัพยากรร่วมกัน (shared services) ได้ด้วย และการจ่ายเงินเพื่อเช่าระบบ ก็สามารถจ่ายตามความต้องการของเรา ใช้เท่าไหร่ จ่ายเท่านั้นได้ หากวันใดความต้องการมีมากขึ้นก็สามารถซื้อเพิ่มเติมเพื่อเพิ่มศักยภาพของระบบ Cloud Computing ได้ โดยที่ไม่ต้องอัพเกรดระบบ และเครื่องคอมพิวเตอร์ให้วุ่นวาย ดังนั้น ธุรกิจขนาดเล็ก และขนาดกลาง รวมไปถึงสถาบันการศึกษา จึงหันมาใช้บริการ Cloud Computing ที่ทั้งช่วยลดต้นทุนและลดความยุ่งยากทั้งหลายกันมาก คล้ายกับเป็นการ Outsource งานนี้ออกไปเพื่อจะได้ Focus กับงานหลักของตนเองจริงๆ

          ประเภทของบริการ คลาวด์คอมพิวติ้ง  (Cloud Service Models)

บริการ Cloud Computing มีหลากหลายรูปแบบ แต่ในที่นี้ เราขอพูดถึงรูปแบบหลักๆ 3 แบบได้แก่

          Software as a Service (SaaS)

เป็นการที่ใช้หรือเช่าใช้บริการซอฟต์แวร์หรือแอพพลิเคชั่น ผ่านอินเทอร์เน็ต โดยประมวลผลบนระบบของผู้ให้บริการ ทำให้ไม่ต้องลงทุนในการสร้างระบบคอมพิวเตอร์ ฮาร์ดแวร์ ซอฟต์แวร์เอง ไม่ต้องพะวงเรื่องค่าใช้จ่ายในการดูแลระบบ เพราะซอฟต์แวร์จะถูกเรียกใช้งานผ่าน Cloud จากที่ไหนก็ได้

           ซึ่งบริการ Software as a Service ที่ใกล้ตัวเรามากทื่สุดก็คือ GMail นั่นเอง นอกจากนั้นก็เช่น Google Docs หรือ Google Apps ที่เป็นรูปแบบของการใช้งานซอฟต์แวร์ผ่านเว็บบราวเซอร์ สามารถใช้งานเอกสาร คำนวณ และสร้าง Presentation โดยไม่ต้องติดตั้งซอฟต์แวร์บนเครื่องเลย แถมใช้งานบนเครื่องไหนก็ได้ ที่ไหนก็ได้ แชร์งานร่วมกันกับผู้อื่นก็สะดวก ซึ่งการประมวลผลจะทำบน Server ของ Google ทำให้เราไม่ต้องการเครื่องที่มีกำลังประมวลผลสูงหรือพื้นที่เก็บข้อมูลมากๆในการทำงาน Chromebook ราคาประหยัดซักเครื่องก็ทำงานได้แล้ว มหาวิทยาลัยทั้งในไทยและต่างประเทศหลายแห่งในปัจจุบัน ก็ยกเลิกการตั้ง Mail Server สำหรับใช้งาน e-mail ของบุคลากร และนักศึกษาในมหาวิทยลัยกันเองแล้ว แต่หันมาใช้บริการอย่าง Google Apps แทน เป็นการลดต้นทุน, ภาระในการดูแล, และความยุ่งยากไปได้มาก

          Platform as a Service (PaaS) 

สำหรับการพัฒนาแอพพลิเคชั่นนั้น หากเราต้องการพัฒนาเวบแอพพลิเคชั่นที่ค่อนข้างซับซ้อน ซึ่งรันบนเซิร์ฟเวอร์ หรือ Mobile application ที่มีการประมวลผลทำงานอยู่บนเซิร์ฟเวอร์ เราก็ต้องตั้งเซิร์ฟเวอร์ เชื่อมต่อระบบเครือข่าย และสร้างสภาพแวดล้อม เพื่อทดสอบและรันซอฟต์แวร์และแอพพลิเคชั่น เช่น ติดตั้งระบบฐานข้อมูล, Web server, Runtime, Software Library, Frameworks ต่างๆ เป็นต้น จากนั้นก็อาจยังต้องเขียนโค้ดอีกจำนวนมาก

           แต่ถ้าเราใช้บริการ PaaS  ผู้ให้บริการจะเตรียมพื้นฐานต่างๆ เหล่านี้ไว้ให้เราต่อยอดได้เลย  พื้นฐานทั้ง Hardware, Software, และชุดคำสั่ง ที่ผู้ให้บริการเตรียมไว้ให้เราต่อยอดนี้เรียกว่า Platform ซึ่งก็จะทำให้ลดต้นทุนและเวลาที่ใช้ในการพัฒนาซอฟท์แวร์อย่างมาก ตัวอย่าง เช่น Google App Engine, Microsoft Azure ที่หลายๆบริษัทนำมาใช้เพื่อลดต้นทุนและเป็นตัวช่วยในการทำงาน

          Application ดังๆหลายตัวเช่น Snapchat ก็เลือกเช่าใช้บริการ PaaS อย่าง Google App Engine ทำให้สามารถพัฒนาแอพที่ให้บริการคนจำนวนมหาศาลได้ โดยใช้เวลาพัฒนาไม่นานด้วยทีมงานแค่ไม่กี่คน

          Infrastructure as a Service (IaaS) 

เป็นบริการให้ใช้โครงสร้างพื้นฐานทางคอมพิวเตอร์อย่าง หน่วยประมวลผล ระบบจัดเก็บข้อมูล ระบบเครือข่าย ในรูปแบบระบบเสมือน (Virtualization) ข้อดีคือองค์กรไม่ต้องลงทุนสิ่งเหล่านี้เอง, ยืดหยุ่นในการปรับเปลี่ยนโครงสร้างระบบไอทีขององค์กรในทุกรูปแบบ, สามารถขยายได้ง่าย ขยายได้ทีละนิดตามความเติบโตขององค์กรก็ได้ และที่สำคัญ ลดความยุ่งยากในการดูแล เพราะหน้าที่ในการดูแล จะอยู่ที่ผู้ให้บริการ

          ตัวอย่างเช่น บริการ Cloud storage อย่าง DropBox ซึ่งให้บริการพื้นที่เก็บข้อมูลนั่นเอง แต่นอกจากนี้ก็ยังมีบริการให้เช่ากำลังประมวลผล, บริการให้เช่า เซิร์ฟเวอร์เสมือน เพื่อใช้ลงและรันแอพพลิเคชั่นใดๆตามที่เราต้องการไม่ว่าจะเป็น Web Application หรือ Software เฉพาะด้านขององค์กร เป็นต้น

ตัวอย่างบริการอื่นๆในกลุ่มนี้ก็เช่น Google Compute Engine, Amazon Web Services, Microsoft Azure

cloud-computing-what-is-cloud-02

Cloud Service Models

            ความสำเร็จขององค์กรที่ใช้งาน Cloud Computing 

Thai Smile บริษัทสายการบินน้องใหม่ที่นำเอาคลาวด์คอมพิวติ้ง (Cloud Computing) เข้ามาช่วยในการลดต้นทุน และช่วยย่นระยะเวลาในการสร้างระบบคอมพิวเตอร์ โดยทางไทยสไมล์ มองว่า บริษัทน้องใหม่ แยกตัวออกมาจากการบินไทย กว่าจะตั้งตัวได้ กว่าจะมีระบบที่สมบูรณ์ ก็ต้องใช้เวลาหลายเดือน แต่ความได้เปรียบในเชิงธุรกิจ ต้องการการตัดสินใจที่รวดเร็ว ดังนั้น คลาวด์คอมพิวติ้ง  (Cloud Computing) จึงเป็นทางเลือกในการช่วยประหยัดเวลา ลดความยุ่งยากและเสียเวลากับการลงทุนอุปกรณ์เอง ทางไทยสไมล์ จึงเลือก Cloud Computing เพื่อให้สามารถขยับตัวเพื่อแข่งขันในตลาดได้อย่างทันท่วงที

            จากตัวอย่าง จะเห็นได้ว่า องค์กร บริษัท ธุรกิจขนาดเล็ก ขนาดกลาง และขนาดใหญ่ ล้วนแต่หาช่องทางในการลดต้นทุน ลดเวลา ลดความยุ่งยากในบริหารจัดการด้านไอที ซึ่งสำคัญมาก และเกี่ยวข้องกับความได้เปรียบในการแข่งขันทางธุรกิจ เพราะการซื้ออุปกรณ์ ฮาร์ดแวร์ ซอฟต์แวร์ การอัพเดตซอฟต์แวร์ และการอัพเกรดระบบ ต่างมาพร้อมกับต้นทุนและต้องการการบำรุงรักษาในระยะยาว ในขณะที่องค์กรเอง ก็ต้องการความยืดหยุ่น และไม่ยุ่งยากในการปรับเปลี่ยนโครงสร้างระบบ ระบบเครือข่าย รองรับการขยายตัวของธุรกิจ และปรับตัวเข้ากับอนาคตได้เร็วกว่าคู่แข่ง

            ในยุคที่มีอินเทอร์แพร่หลายและมีเครือข่าย 3G / 4G / Wi-Fi ที่ครอบคลุมทุกพื้นที่ การวางใจให้ Cloud ทำหน้าที่คำนวณ ประมวลผล จัดเก็บข้อมูล ก็ทำให้การใช้งานคอมพิวเตอร์หรืออุปกรณ์ผ่าน Cloud ก็ไม่ต้องจำเป็นต้องลงทุนสูงอีกต่อไป

cloud-computing-what-is-cloud-03

            ล่าสุดมีข่าวว่า Google ประกาศจับมือ TRUEIDC เลือกประเทศไทยเป็นประเทศเดียวในเอเชีย เปิดตัวโปรดักใหม่พร้อมเทคโนโลยี “Cloud” เพื่อสนับสนุนคนไทยให้สามารถทำงานออนไลน์ได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด ในต้นทุนที่ไม่แพงเพื่อคนไทยอย่างแท้จริง งานเปิดตัวจะมีขึ้นในวันที่ 14 พฤษภาคมนี้ น่าติดตามทีเดียว และสามารถติดตามการถ่ายทอดสดออนไลน์โดย Truemove H 4G ได้ที่ www.truemove-h.com อีกด้วย

Credit : iT24 Hrs
>>> https://www.facebook.com/man4460

    ว่าวว่าวว๊าว...จีนผลิตรถยนต์ขนาดเบา สร้างขึ้นด้วยเครื่องพิม์ 3 มิติ


           ปัจจุบันนี้ต้องยอมรับว่า เทคโนโลยี ได้พัฒนากันมากขึ้นดังจะเห็นได้ว่า เครื่องพิมพ์ 3 มิติ ได้ถูกนำมาพัฒนาใช้งานในด้านชีวิตประจำวัน วันนี้กระผมขอนำเสนอนวตกรรมอันล้ำยุคของประเทคจีน ที่สามารถผลิตรถยนต์ขนาดเบา ซึ่งเป็นรถยนต์ที่ผลิตด้วยเครื่องพิมพ์ 3 มิติคันแรกของประเทคจีน ซึ่งประสบความสำเร็จ สามารถวิ่งบนถนนได้ด้วยความเร็วไม่เกิน 40 กม./ชม. 

           กลุ่มสื่อจีนเผยภาพรถยนต์สามมิติ (3D) คันแรกของประเทศ ซึ่งผลิตขึ้นโดยบริษัท ซันย่า ซื่อไห่ (三亚思海) ในเมืองซันย่า มณฑลไห่หนัน (หรือไหหลำ) ทางตอนใต้ โดยพาหนะสีสันเตะตาคันนี้มีน้ำหนักรวม 500 กิโลกรัม และขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้าเป็นหลัก
         
           นายเฉิน หมิงเฉียว หัวหน้าทีมผู้ออกแบบฯ กล่าวว่า เทคโนโลยีเครื่องพิมพ์สามมิติ (3D-printed) ได้ช่วยสร้างวัสดุตัวถังของรถ ที่มีน้ำหนักเบากว่าโลหะแบบเดิม 7-8 เท่า ซึ่งนับเป็นข้อดีที่จะช่วยประหยัดพลังงานในอนาคตข้างหน้า
         
           แหล่งพลังงานของตัวรถก็มาจากแบตเตอรี่ไฟฟ้าที่สามารถนำมาชาร์จซ้ำได้ใหม่ ส่วนอัตราขับเคลื่อน ณ ความเร็วสูงสุดที่ 40 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ทั้งนี้ ค่าใช้จ่ายทั้งหมดที่ใช้ในการผลิตรถยนต์สามมิติหนึ่งคันตกอยู่ที่ประมาณ 1,770 ดอลลาร์สหรัฐฯ หรือ 56,000 บาทเท่านั้น
         
           ปัจจุบันมีการใช้เทคโนโลยีการพิมพ์แบบสามมิติเพิ่มมากขึ้น ตั้งแต่งานวิศวกรรมก่อสร้างบ้านที่อยู่อาศัยไปจนถึงแวดวงอวกาศนอกโลก โดยคนจำนวนมากเชื่อว่ามันอาจนำไปสู่ “โรงงานเล็กๆ” ภายในครัวเรือน ที่เปิดช่องทางให้ผู้ใช้สามารถผลิตสิ่งของต่างๆ อาทิ เสื้อผ้า หรือชิ้นส่วนสำหรับซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอของบ้าน 

          ที่สำคัญ คือ รถยนต์คันนี้มีราคาขายอยู่ไม่ถึงแสนบาท แต่วิ่งได้โฉบเฉียวบนท้องถนนได้




    >>> https://www.facebook.com/man4460

    วันพฤหัสบดีที่ 23 เมษายน พ.ศ. 2558

    สามารถใช้ siri ภาษาไทยได้แล้วครับ...!!

    หลัง apple ปล่อยอัพเดต iOS 8.3 ที่มาพร้อมฟีเจอร์ใหม่ สิริ ภาษาไทย โดยหากจะพิมพ์ข้อความ เพียงเรากดรูปที่เหมือนไมโครโฟน แล้วจากนั้นก็พูดภาษาไทย จนกระทั่งข้อความได้พิมพ์ออกมาจากที่เราพูด จากนั้นก็กดส่งข้อความได้ทันทีความ ง่ายๆ

    >>> https://www.facebook.com/man4460

    เรามาเปรียบเทียบ smartwatch นาฬิกาอัจฉริยะกันเถอะ..!!!


    smartwatch รุ่นล่าสุด....!!!


    หลายๆคนก็อาจจะพอรู้จักหน้าคร่าตา และการใช้งานคร่าวๆของ Pebble ไปแล้ว สำหรับบทความนี้ เรามาเจาะลึกข้อมูลเฉพาะของ Pebble กันว่า มีคุณสมบัติอะไรบ้าง ทั้งด้านคุณสมบัติภายนอก และภายในตัวเครื่อง Pebble ตัวนี้ ซึ่งรับรองได้เลยว่า มันไม่ธรรมดาแน่นอน สำหรับเจ้า Pebble Smart Watch ตัวนี้
    ความเป็นมาของ Pebble นั้นมีประวัติที่น่าสนใจมากครับ กว่าจะมาเป็นนาฬิกา Pebble ที่ประสบความสำเร็จทางธุรกิจอย่างมากในต่างประเทศ และกำลังมาแรงแซงโค้ง Smartwatch ทุกแบรนด์เลยก็ว่าได้ เนื่องจากซึ่งมีคุณสมบัติที่น่าสนใจอยู่มากมาย เรียกได้ว่าเป็นนาฬิกาที่มากกว่านาฬิกาก็ว่าได้ ถึงขนาดที่ว่าผลิตออกจำหน่ายแทบไม่ทัน ต้อง Preorder สินค้ากันแรมเดือนกันเลยครับกว่าจะได้สินค้าตัวนี้ไปใช้กัน มาเริ่มกันที่ประวัติความเป็นมาของ Pebble กันเลยครับ
    Pebble นั้นเปรียบได้ว่าเป็นนาฬิกาอัจฉริยะที่สร้างปรากฎการณ์ที่น่าสนใจในโลกเทคโนโลยี เนื่องจาก Pebble เกิดขึ้นและเติบโตมาจากการเป็นโปรเจ็กต์ระดมทุนบนเว็บไซต์ชื่อดังอย่าง Kickstarter.com (หน้าเว็บระดมทุน Pebble) แหล่งสำหรับการนำไอเดียสร้างสรรค์ไปขอทุนจากคนออนไลน์ทั่วโลกเพื่อทำความฝันให้เป็นความจริง Pebble สร้างประวัติการณ์ด้วยการระดมทุนได้มากกว่า 10 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ จากผู้สนับสนุนเกือบ 70,000 คน จากนั้นก็เกิด Pebble ตัวเป็น ๆ ขึ้นมาให้เราได้สัมผัสกันจนทุกวันนี้

    จุดเด่นของ Pebble Smartwatch คือ
    · Pebble สามารถใช้งานได้ทั้งใน Android และ ios ซึ่งต่างจาก Galaxy Gear และ Sony Smartwatch ที่สนับสนุนเพียง Andriod เท่านั้นอย่างแน่นอน ส่วน Apple iWatch ก็คงต้องรอดูกันต่อไป
    · Pebble มีอายุการใช้งานแบตเตอร์รี่ได้ 5-7 วัน ซึ่งเป็นจุดเด่นของนาฬิกาข้อมือเลยทีเดียว ผิดกับตัวอื่นที่แบตอยู่ได้ประมาณ 1 วัน เหลือเชื่อใหมละครับ
    · Pebble กันน้ำแบบเต็มตัวได้ถึง 50m (ใส่ว่ายน้ำได้เลยล่ะ)
    · Pebble มีราคาที่ค่อนข้างต่ำเมื่อเทียบกับ Smartwatch ตัวอื่น
    หากใครกำลังคิดว่าแบรนด์ไม่คุ้นชื่อนั้น ต้องเปลี่ยนความคิดกันเลยครับ
    · ไม่คุ้นชื่อเลย แต่อย่าดูถูกเป็นอันขาดนะครับ ผลงานของแบรนด์นี้ออกมาดีเกินคาด ในวงการต่างประเทศมีการพูดถึงเป็นอย่างมากที่มากที่สุด ขอย้ำครับ ต่างประเทศ ฮิตมาก ทำให้แบรนด์อื่นๆดูด้อยไปเลยละครับ
    · เหตุผลที่มีชื่อเสียง เนื่องจากเขาได้ทำ Smartwatch ตัวนี้และนำไปโปรโมตขอเงินทุนผ่านhttps://www.kickstarter.com โดยเงินทุนที่เขาคาดหวังนั้นคือ $100,000 แต่มีผู้ให้ความสนใจและสนับสนุนเงินเกือบ 69,000 ราย และยอดรวมกว่า $10,000,000 (เกินความคาดหมาย 100 เท่า)จาก เว็บ kickstarter.com ซึ่งเป็นเว็บไซต์ที่เหล่าผู้ประกอบการคิดผลงานไอเดียดีๆ แต่ไม่มีเงินลงทุน มาโปรโมตสินค้าหรือบริการของตัวเองเพื่อขอเงินทุน ซึ่งเป็นเว็บที่ดีและมีชื่อเสียงมากๆครับ
    รองรับ Android, iOS เวอร์ชั่น
    · Android 2.3.3+
    · ใช้งานบน iOS 5 ขึ้นไป แต่สมบูรณ์แบบบน iOS 6 – 7
    · iOS 5 ไม่รองรับระบบ Notification นะครับ ระวังให้ดี!!!!! สิ่งที่ใช้ได้มีเพียง คนโทรเข้า, ควบคุมเพลง, App บน Pebble, หน้าปัดนาฬิกา เอาเป็นว่าถ้าใครใช้ iOS 5 แล้วไม่คิดจะ Update ผมคิดว่า Pebble ไม่คุ้มค่าสำหรับคุณ
    วัสดุทำจาก
    · ทำจากพลาสติกทั้งเรือน แต่ไม่กิ๊กก็อก การประกอบค่อนข้างประนีต
    · ปุ่มกดทุกปุ่มรับประกันว่าแข็งแรงมาก เสียได้ยาก
    · หากไม่ใช้อย่างทารุณโหดร้าย มันเป็นนาฬิกาที่ค่อนข้างทนเลยครับ
    · เปลี่ยนสายได้ โดยสายมีขนาด 22 mm
    ชาร์จแบตยังไง ชาร์จกี่ชั่วโมง
    · ที่ชาร์จแบตจะเป็นหัวแม่เหล็กใช้ติดกับตัวนาฬิกาเวลาชาร์จ
    · ชาร์จจาก 0% ไปจน 100% ใช้เวลาเพียง 2-3 ชั่วโมงเท่านั้น
    · ชาร์จผ่าน USB
    รองรับภาษาไทยไหม
    · Firmware ต้นฉบับจากทางผู้ผลิตนั้นไม่รองรับภาษาไทยอย่างเป็นทางการ แต่เราสามารถลง Firmware ภาษาไทยได้จากhttps://pebblebits.com/firmware/
    ทำอะไรได้บ้าง
    สรุปคุณสมบัติเด่นๆ เป็นข้อง่ายๆ เลยละกัน
    · สามารถเปลี่ยนหน้าปัดตามใจชอบได้ ซึ่งมีให้ดาวน์โหลดกว่าหลายร้อยแบบทั้ง analog (เข็ม), digital หรือแม้กระทั่งบอกวันเดือนปีอุณหภูมิ (อารมณ์ซื้อนาฬิกาเรือนนึง แต่เปลี่ยนหน้าปัดได้ตลอดเวลา) สามารถดูตัวอย่างหน้าปัดได้ที่ https://www.mypebblefaces.com
    · มีระบบสั่นแจ้งเตือน Notification จาก iPhone และ Android กล่าวคือหากมือถือคุณเตือนอะไร Pebble ก็จะสั่นเตือนด้วย พร้อมบอกข้อความเตือนที่หน้าปัดทันที แต่ไม่สามารถตอบกลับได้ (read-only)
    · เมื่อมีคนโทรเข้า Pebble ก็จะสั่นเช่นกัน คุณสามารถกดรับหรือตัดสายผ่าน Pebble ได้ทันที (แต่คุยไม่ได้นะ กดรับสายได้อย่างเดียว แล้วก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาคุย *0*)
    · เปลี่ยนเพลงผ่าน Pebble ได้โดยไม่ต้องหยิบมือถือขึ้นมากด
    · มีนาฬิกาปลุกไร้เสียง (แต่สั่นรัวๆ แบบโหดร้าย)
    · มี App ต่างๆ มากมายให้ดาวน์โหลด เช่นเกม, App ออกกำลังกายต่างๆ ที่สำคัญ หากคุณเป็นโปรแกรมเมอร์ คุณสามารถพัฒนา App ได้ด้วย (ภาษา C TwT)
    · จอ Pebble เป็นสีขาวดำ ใช้เทคโนโลยี E-Paper ซึ่งการแสดงผลจะเหมือนเรามองกระดาษ (อารมณ์ E-Ink ใน Amazon Kindle) ทำให้สามารถมองในที่จ้าได้อย่างไม่มีปัญหา และตัวจอมีระบบ Backlight ทำให้มองในที่มืดได้เพียงแค่สลัดข้อมือเท่านั้น
    · กันน้ำและฝุ่นละอองได้ โดยจากการทดสอบสามารถใส่ว่ายน้ำได้
    Sync กับมือถือด้วยระบบ
    · Bluetooth ครับ โดยใน Android และ iOS จะมี App Pebble Smartwatch ให้ดาวน์โหลด
    · เวลาจะเพิ่มข้อมูลหรือลง App ให้กับ Pebble จะต้องลงผ่าน App Pebble Smartwatch ในมือถือ
    · บั่นทอนแบตมือถือเพิ่มขึ้นประมาณ 4-5% เทียบกับการใช้งานปกติที่ไม่ได้เชื่อมต่อกับ Pebble
    · ถ้าไม่ได้ Sync กับมือถือ ยังคงใช้งานได้ปกติ โดยสามารถดูเป็นนาฬิกาทั่วไป รวมถึงใช้ App ที่พัฒนาใน Pebble ได้เหมือนเดิม
    >>> Line ID:man4460
    IG:man4460





    สำหรับ Apple Watch นั้นเปิดตัวไปเมื่อวันที่ 9 กันยายน 2557 โดยมีทั้งหมด 3 รุ่นย่อย ด้วยกันได้แก่ Apple Watch, Apple Watch Sport และ Apple Watch Edition ซึ่งทั้ง 3 รุ่นย่อย ขับเคลื่อนการทำงานด้วยระบบปฏิบัติการ iOS, ใช้จอแสดงผลแบบ Retina Display IPS LCD ขนาด 1.5 นิ้ว, ระบบการสั่นไหวแบบ Taptic Engine ที่ให้ความแรงของการสั่นไหวที่สูงเป็นพิเศษ รวมไปถึงประมวลผลการทำงานด้วย ชิปเซ็ต Apple S1 และที่พิเศษไปกว่านั้น Apple Watch ยังรองรับการเก็บบันทึกข้อมูลแบบ Cloud Storage ด้วยบริการ iCloud Service อีกด้วย

    คุณสมบัติโดยรวมของ Apple Watch

    - ขนาดตัวเรือน 42 มิลลิเมตร หรือ 38 มิลลิเมตร (ขึ้นอยู่กับแต่ละโมเดลย่อย)
    - ชนิดจอแสดงผลแบบ Retina Display IPS LCD ขนาด 1.5 นิ้ว ความละเอียด 272x340 Pixels หรือขนาด 1.65 นิ้ว ความละเอียด 312x390 Pixels (ขึ้นอยู่กับแต่ละโมเดลย่อย)
    - สั่งงานด้วยระบบสัมผัสบนหน้าจอแสดงผล (Touch Screen)
    - ระบบตรวจจับความเคลื่อนไหวแบบ 3-Axis Gyro Sensor
    - ระบบ Accelerometer Sensor ช่วยหมุนหรือปรับเปลี่ยนทิศทางการแสดงผลของหน้าจอให้แบบอัตโนมัติ ตามลักษณะการจับถือของผู้ใช้
    - ฟังก์ชัน Ambient Light Sensor สำหรับตรวจวัดระดับความสว่างของสภาพแวดล้อม เพื่อปรับความสว่างของหน้าจอให้เหมาะสม
    - ระบบการสั่นไหวแบบ Taptic Engine
    - เซ็นเซอร์วัดอัตราการเต้นของหัวใจ
    - ประมวลผลการทำงานด้วย ชิปเซ็ต Apple S1
    - รองรับการเก็บบันทึกข้อมูลแบบ Cloud Storage ด้วยบริการ iCloud Service
    - ขับเคลื่อนการทำงานด้วยระบบปฏิบัติการ iOS
    - รองรับการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตผ่าน WiFi (WLAN : Wireless LAN : 802.11 b/g)
    - Bluetooth เวอรืชัน 4.0
    - ระบบ GPS ในตัว (Global Positioning System : ระบบดาวเทียมนำร่อง)
    - เปิดตัวครั้งแรก เมื่อ เดือนกันยายน ปี ค.ศ. 2014

    โดยรุ่น Apple Watch จะเป็นรุ่นปกติ ซึ่งตัวเรือนนั้นทำจาก Stainless Steel พร้อมเทคโนโลยีกระจกหน้าจอแบบ Sapphire และวางจำหน่ายในราคา 349$ (ประมาณ 12,000 บาท)
    รุ่น Apple Watch Sport คือรุ่นที่ตัวเรือนนั้นทำมาจาก Anodised Aluminium พร้อมเทคโนโลยีกระจกหน้าจอแบบ Ion-X และวางจำหน่ายในราคา 500$ (ประมาณ 16,000 บาท)
    รุ่น Apple Watch Edition คือรุ่นที่ตัวเรือนเป็นทองคำ 18 กะรัต พร้อมเทคโนโลยีกระจกหน้าจอแบบ Sapphire และวางจำหน่ายในราคา 5000$ (ประมาณ 160,000 บาท) โดยทั้ง 3 รุ่น นั้่นจะเริ่มวางจำหน่ายในช่วงต้นปี ค.ศ. 2015

    >>> Line ID:man4460

    https://www.facebook.com/man4460


    Samsung Gear S สมาร์ทวอทช์ระดับไฮเอนด์จาก ซัมซุง ที่มีความพิเศษเหนือชั้นไปอีกขั้น โดยสามารถรองรับการใส่ซิมการ์ด พร้อมทั้งยังสามารถโทรออกไปยังสมาร์ทโฟนอื่นๆ ได้อีกด้วย รวมไปถึงการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตผ่านระบบ WiFi และ 3G ซึ่งเป็นเสมือนสมาร์ทโฟนที่อยู่บนข้อมือเลยทีเดียว

    คุณสมบัติโดยรวมของ Samsung Gear S
    - ใช้งานร่วมกับซิมการ์ดแบบ nanoSIM เท่านั้น
    - ขนาด 58.3x39.8x12.5 มิลลิเมตร
    - ตัวเครื่องมีคุณสมบัติในการป้องกันน้ำ และป้องกันฝุ่น ตามมาตรฐาน IP67
    - ชนิดจอแสดงผลแบบ Super AMOLED ขนาด 2.0 นิ้ว ความละเอียด 360x480 Pixels
    - สั่งงานด้วยระบบสัมผัสบนหน้าจอแสดงผล (Touch Screen)
    - ระบบตรวจจับความเคลื่อนไหวแบบ Gyroscope
    - ระบบ Accelerometer Sensor ช่วยหมุนหรือปรับเปลี่ยนทิศทางการแสดงผลของหน้าจอให้แบบอัตโนมัติ ตามลักษณะการจับถือของผู้ใช้
    - ฟังก์ชัน Ambient Light Sensor สำหรับตรวจวัดระดับความสว่างของสภาพแวดล้อม เพื่อปรับความสว่างของหน้าจอให้เหมาะสม
    - เซ็นเซอร์วัดอัตราการเต้นของหัวใจ
    - หน่วยประมวลผลแบบ Dual-Core ความเร็ว 1 GHz
    - ขับเคลื่อนการทำงานด้วยระบบปฏิบัติการ Tizen
    - หน่วยความจำภายในสำหรับเก็บบันทึกข้อมูลขนาด 4 GB
    - หน่วยความจำ RAM ขนาด 512 MB
    - รองรับการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตผ่านระบบ WiFi (WLAN : Wireless LAN : 802.11 b/g/n) และ 3G Dual Band (900/2100 MHz)
    - Bluetooth เวอร์ชัน 4.0
    - ระบบ GPS ในตัว (Global Positioning System : ระบบดาวเทียมนำร่อง)
    - ชนิดแบตเตอรี่ Li-Ion 300 mAh
    - ระดับการใช้งานปกติ : แบตเตอรี่สามารถใช้งานต่อเนื่องได้นาน 24 ชั่วโมง ต่อการชาร์จ 1 ครั้ง
    - ระดับการใช้งานน้อย : แบตเตอรี่สามารถอยู่ได้นาน 2 วัน ต่อการชาร์จ 1 ครั้ง
    - เปิดตัวครั้งแรก เมื่อ เดือนสิงหาคม ปี ค.ศ. 2014
    - ราคา 11,900 บาท
    >>> Line ID:man4460
    https://www.facebook.com/man4460


    Sony SmartWatch 3 SWR50 สมาร์ทวอทช์รุ่นต่อยอด ที่ทำงานอยู่บนระบบปฏิบัติการ Android Wear ตัวแรกจากค่าย Sony ซึ่งมีฟีเจอร์ต่างๆ มากมาย ไม่ว่าจะเป็น การแจ้งเตือนข้อความ SMS, การแจ้งเตือนอีเมล, แผนที่, การนับก้าว, การแสดงการพยากรณ์อากาศ และบริการจากกูเกิล รวมไปถึงประมวลผลการทำงานด้วย Quad-Core ARM A7 Processor ความเร็ว 1.2 GHz และที่พิเศษไปกว่านั้น คือสามารถรองรับการสื่อสารข้อมูลระยะใกล้แบบ NFC ได้อีกด้วย

    คุณสมบัติโดยรวมของ Sony SmartWatch 3 SWR50
    - ขนาด 36x10x51 มิลลิเมตร
    - น้ำหนัก 45 กรัม
    - ตัวเครื่องมีคุณสมบัติในการป้องกันน้ำ และป้องกันฝุ่น ตามมาตรฐาน IP68
    - ชนิดจอแสดงผลแบบ TFT LCD ขนาด 1.6 นิ้ว ความละเอียด 320x320 Pixels
    - สั่งงานด้วยระบบสัมผัสบนหน้าจอแสดงผล (Touch Screen)
    - ระบบตรวจจับความเคลื่อนไหวแบบ Gyroscope
    - ระบบ Accelerometer Sensor ช่วยหมุนหรือปรับเปลี่ยนทิศทางการแสดงผลของหน้าจอให้แบบอัตโนมัติ ตามลักษณะการจับถือของผู้ใช้
    - ฟังก์ชัน Ambient Light Sensor สำหรับตรวจวัดระดับความสว่างของสภาพแวดล้อม เพื่อปรับความสว่างของหน้าจอให้เหมาะสม
    - เข็มทิศ
    - ประมวลผลการทำงานด้วย Quad-Core ARM A7 Processor ความเร็ว 1.2 GHz
    - ขับเคลื่อนการทำงานด้วยระบบปฏิบัติการ Android Wear
    - Bluetooth เวอร์ชัน 4.0 LE
    - รองรับการสื่อสารข้อมูลระยะใกล้แบบ NFC
    - ระบบ GPS ในตัว (Global Positioning System : ระบบดาวเทียมนำร่อง)
    - หน่วยความจำภายในสำหรับเก็บบันทึกข้อมูลขนาด 4 GB
    - หน่วยความจำ RAM ขนาด 512 MB
    - แบตเตอรี่ 420 mAh
    - ระดับการใช้งานปกติ : แบตเตอรี่สามารถใช้งานต่อเนื่องได้นาน 2 วัน
    - เปิดตัวครั้งแรก เมื่อ เดือนกันยายน ปี ค.ศ. 2014
    - ราคา 229.99 ยูโร (ประมาณ 9,600 บาท)
    >>> Line ID:man4460
    https://www.facebook.com/man4460



    Asus Zen Watch สมาร์ทวอทช์รุ่นแรกจากค่าย Asus ที่มาพร้อมวัสดุชั้นดี และมีการการดีไซน์ที่เรียบหรู โดยจะมีจอแสดงผลแบบ AMOLED ขนาด 1.63 นิ้ว และกระจกหน้าจอแบบ Corning Gorilla Glass 3 รวมไปถึงระบบปฏิบัติการ Android Wear ซึ่งมีฟีเจอร์ต่างๆ มากมาย ไม่ว่าจะเป็น การแจ้งเตือนข้อความ SMS, การแจ้งเตือนอีเมล, แผนที่, การนับก้าว, การแสดงพยากรณ์อากาศ และบริการอื่นๆ จากกูเกิล

    คุณสมบัติโดยรวมของ Asus Zen Watch
    - ขนาด 51x39.9x7.9 มิลลิเมตร
    - น้ำหนัก 50 กรัม
    - ตัวเครื่องมีคุณสมบัติในการป้องกันน้ำ และป้องกันฝุ่น ตามมาตรฐาน IP55
    - ชนิดจอแสดงผลแบบ AMOLED ขนาด 1.63 นิ้ว ความละเอียด 320x320 Pixels
    - กระจกหน้าจอแบบ Corning Gorilla Glass 3 ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการป้องกันแรงกระแทก หรือรอยขีดข่วน
    - สั่งงานด้วยระบบสัมผัสบนหน้าจอแสดงผล (Touch Screen)
    - 9 Axis Sensor (Gyro+Accelerometer+Compass)
    - Bio Sensor
    - เซ็นเซอร์เพื่อสุขภาพ
    - หน่วยประมวลผลแบบ Qualcomm Snapdragon 400 ความเร็ว 1.2 GHz
    - ขับเคลื่อนการทำงานด้วยระบบปฏิบัติการ Android Wear
    - Bluetooth เวอร์ชัน 4.0 LE
    - แบตเตอรี่ Li-Ion Polymer 1.4Wh
    - เปิดตัวครั้งแรก เมื่อ เดือนกันยายน ปี ค.ศ. 2014
    - ราคา 199 ยูโร (ประมาณ 8,000 บาท)
    >>> Line ID:man4460

    ใช้ iPhone คุมคอมที่บ้าน ไกลแค่ไหน ก็คุมถึง!!


    คุณรู้ไหมว่า คุณสามารถใช้ iPhone ,iPod หรือ iPad ในการเข้าดูหรือแก้ไขไฟล์งานที่เซฟไว้ในคอมที่บ้าน(ต่อเน็ตด้วยนะ) เพียงแค่สมัคร Account ที่ http://secure.logmein.com/ แล้วโหลดโปรแกรมมาลงเครื่อง MAC หรือ PC ถ้าของคอมอะ Free แต่ของ i ทั้งหลายแหล่ นั้นต้องโหลด App ซึ่งราคาอยู่ที่ 19.99$ หากใครอยากลองใช้ ก็ลองโหลดมาใช้ดู
    เพียงแค่นี้ ก็สามารถควบคุมคอมหรือแก้ไขไฟล์งานที่เซฟไว้ในคอมที่บ้าน!!

    >>> Credit Click Today โดย Man polis
    Line ID:man4460 
    Facebook:man polis

    วันพุธที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2558

    คุมคอมชาวบ้านด้วย Crossloop ล้วงและลึกกว่าที่เคย


    คุณรู้ไหมว่า คุณสามารถควบคุมคอมพิวเตอร์เครื่องไหนก็ได้ในโลกนี้ โดยไม่ต้อง forword port หรือหลบ firewall ขอให้มีเพียงเน็ตและโปรแกรม Crossloop การใช้งานไม่ต้องตั้งค่าอะไรเลย เพราะสามารถทำงานทะลุ firewall และ NAT เข้าไปโหลดได้ที่ www.crossloop.com/download.htm?affid=xl&src=global_head-er_download_link ที่สำคัญใช้ Free
    โปรแกรมนี้มีแค่ 2 แท็บให้เลือก คือ Join และ Host เช่น ถ้าเราต้องการที่จะควบคุมเครื่องปลายทางก็ให้ปลายทางเลือก Share แล้วใส่ Name ส่วนเลข Access code โปรแกรมจะคิดออกมาให้เอง ให้ปลายทางส่งเลขนี้ให้กับเรา เพราะเวลา Connect เราต้องใส่ข้อมูลให้ถูกต้อง
    เพียงแค่นี้เราก็ได้ควบคุมเครื่องไหนก็ได้ในโลกนี้ เพียงแค่มีอินเตอร์เน็ตก็เพียงพอ...!!!


    >>> Credit Click Today โดย Man polis
    Line ID:man4460 
    Facebook:man polis

    ประชุม VideoConference ได้ง่ายๆ ไม่ง้อโปรแกรม



    tinychat เป็นบริการ VideoConference ผ่านเว็บไซต์โดยไม่ต้องติดตั้งโปรแกรมและไม่เสียค่าใช้จ่าย ซึ่งทั้งเราและอีกฝ่ายสามารถทำกิจกรรมร่วมกันได้ เช่น Share เอกสาร ,Chat ,คุยกันแบบเห็นหน้า (VideoConference) ,Share Whiteboard เอาละมาเริ่มกันเลย

    1. เข้าเว็บไซต์ www.tinychat.com สร้างชื่อห้องแชตของเรา จากนั้นกดปุ่ม Create
    2. จากนั้นจะมีหน้าต่างขึ้นมาให้เราใส่ชื่อในห้องแชต ใส่แล้วก็กดปุ่ม Go
    3. ถ้าคุณเป็นคนสร้างห้องก็กำหนดค่า เช่น หัวข้อ การตั้งชื่อ จากนั้นกด OK
    4. ได้มาแล้วห้องแชตของเรา เริ่มเปิดวิดิโอกันเลย กดไอคอนรูป Webcam แล้วเลือก Start Broadcasting จากนั้นก็ตั้งค่าตามปกติ
    5. เพียงเท่านี้ก็เสร็จแล้ว !!! 
    >>> Credit Click Today โดย Man polis
    Line ID:man4460 
    Facebook:man polis
     

    ค้นหาบล็อกนี้

    เกี่ยวกับฉัน